ประวัติโพมินข่อง
ประวัติโพมินข่อง
ประวัติโพมินข่อง
ปีพ.ศ.2132 ณ.หมู่บ้านหนึ่งในประเทศพม่า แต่ก่อนนั้นยังไม่มีชื่อเรียกประเทศ เราเรียกว่ามอญรามัญ
ค่ำคืนนั้นท้องฟ้ามืดมิดกลับมีแสงเหมือนฟ้าแลบ และตามมาด้วยเสียงคำรามสนั่นหวั่นไหว อสุนีฟาดลงดังกัมปนาท ส่งเสียงให้หวาดผวา ด้วยในหมู่บ้านนั้นอยู่กันไม่กี่หลังคาเรือน ท่ามกลางดินดำ มีต้นไม้ใหญ่เรียงรายตามหมู่บ้าน บางต้นสามสี่คนโอบ จากธรรมชาติสมัยนั้น อุดมด้วยป่าไม้ ไม้กฤษณา ไม้เต็ง ไม้สัก ไม้ประดู่ ที่นำมาทำล้อเกวียน
เหมือนว่าการสั่นสะเทือนด้วยแรงฟ้าผ่านั้น ยังไม่หมดสิ้น มีเพียงบ้านหลังเดียวเท่านั้นที่ยังระวิงระวาดในการคลอดเด็ก เสียงแม่นั้นก็พยายามที่จะเบ่งทารกน้อยให้ออกมาดูโลก ทันใดนั้นเอง อสุนีก็ฟาดลงมาอีกครา ดังสนั่นกว่าที่แล้วมา เหมือนจะบอกอะไรสักอย่าง สิ้นเสียง…..ทารกน้อยได้คลอดออกมาเรียบร้อย มีร่างกายที่แข็งแรง หน้าตาน่าเอ็นดูยิ่งนัก ทำให้มารดาปีติยินดีอย่างยิ่ง
ต่างรีบเร่งทำความสะอาดทารกน้อย และให้นมเมื่อทารกน้อยสะอาดดีแล้ว ทารกน้อยนี้เติบใหญ่แล้ว เป็นเด็กที่แข็งแรง ว่องไว ปราดเปรียว ฉลาด ชอบทำอะไรที่คนอื่นไม่ทำ ชอบช่วยเหลือคน มีเมตตา ตลก สนุกสนาน มีเพื่อนรักใคร่มาก
ในหมู่บ้านนี้จะมีพวกผีที่มาสิงสู่ผู้คนเสมอ เวลาที่คนเรียนวิชาปล่อยของ มักจะสิงสู่คนในหมู่บ้าน เพื่อกินของสังเวย บางทีได้กินแล้วก็ไม่ยอมไปไหน ไม่กลับที่อยู่ของเจ้าของวิชา
สร้างความเดือดร้อนในหมู่บ้านเสมอมา เด็กชายนี้อายุประมาณ16ปี เกิดความคิดว่า หากเราจะช่วยคนในหมู่บ้านนี้ เราเห็นทีต้องหาอาจารย์เรียนวิชาขับไล่ผี
เมื่อคิดได้ก็ออกจากหมู่บ้านโดยไม่ขออนุญาติใครแม้แต่พ่อและแม่ เดินไปตามที่ต่างๆเพื่อจะเรียนวิชาแต่เขาเองไม่ได้เรียนหนังสือ ไฉนเลยจะเรียนวิชาได้ คิดแล้วก็เบี่ยงเบนความตั้งใจที่จะไปเรียนวิชา หันกลับมาโดยอาศัยวัดแทนบ้าน
ด้วยการอยากเรียนหนังสือเพื่อจะได้อ่านออกในวิชา จึงเรียนทุกภาษาที่มีในแผ่นดินพม่า เด็กคนนี้มีความฉลาดมากไม่นานก็สามารถอ่านเขียนได้ทุกภาษาในพม่า
จากนั้นเขาก็สมหวังในสิ่งที่พรากเพียรซะที เขาจึงออกเดินทางเพื่อเรียนรู้วิชาไล่ผีต่อไป การเดินทางนั้นลำบากสาหัสอย่างมาก บางครั้ง4-7วันไม่ได้กินอาหารเลย กินแต่น้ำในรอยเท้าวัวควาย เพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอด
จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จนอายุได้เกณฑ์บวชเขาจึงอยากบวช...จึงได้ไปอาศัยวัดอีกเช่นเคย ทำงานเก็บกวาดเช็ดถูในวัด กุลีกุจอในงานทุกอย่างได้รวดเร็วสะอาดสะอ้าน จนเจ้าอาวาสรักใคร่ ..จึงขอท่านบวชเป็นพระ ท่านสามารถสวดมนต์ได้หมดทุกเล่ม อ่านท่องพระปาฎิโมกข์ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วด้วย และเรียนกรรมฐานภาวนาจากเจ้าอาวาส
ค่ำคืนหนึ่งในเดือนมืด น่าจะเป็นแรม๑๔ ค่ำ ไม่มีแสงจากพระจันทร์ที่ให้ความสว่างยามค่ำคืน ท่านออกมานั่งกรรมฐานภาวนาที่ใต้ต้นประดู่ จิตสงบรวมลงสู่สมาธิ พลันนั้นเอง ท่านเห็นแสงสว่างจากทิศเหนือ สว่างไสวมากๆท่านจำที่เห็นได้อย่างแม่นยำ ว่ามีลักษณะเช่นไร มีอะไรเป็นที่สังเกตุ ก่อนฟ้าสางนั่นเอง เมื่อท่านออกจากกรรมฐานภาวนาแล้ว ท่านจึงเดินทางไปยังนิมิตที่ท่านจำได้
เดินรอนแรมไปร่วม7วันจึงพบสถานที่เห็นแสงสว่าง ภายในถ้ำนั้นเองที่เป็นจุดกำเนิดแห่งแสงสว่างนั้น ท่านก้าวย่างเข้าไปโดยไม่ต้องใช้คบไฟ เพราะแสงสว่างที่รอดมาจากถ้ำนั้น พอเดินได้อย่างปลอดภัย
พอท่านเข้าไปถึงก้นของถ้ำนี้เอง เบื้องหน้าท่านปรากฎหนังสือเล่มพอประมาณ สว่างไสวเรืองรองมากๆ พอเดินเข้าไปใกล้เท่านั้น หนังสือเล่มนั้น ก็ไม่ปรากฎแสงให้เห็น แสงนั้นค่อยๆริบหรี่ลง ท่านจึงคว้าหนังสือเล่นนั้นออกมาด้วยความรีบเร่ง เพราะสัญชาติญาณบอกท่านว่า ถ้ำนี้ไม่ปลอดภัยแล้วหากชักช้า
และก็เป็นจริงดังที่คิด พอออกมาพ้นถ้ำได้ประมาณ20กว่าก้าว ถ้ำนั้นถล่มพังคลืนลงมา ฝุ่นกระจายจนมองอะไรไม่เห็น พอฝุ่นจางลงไม่ปรากฎว่าที่นี่มีถ้ำ ถ้ำนั้นหายไปไหน ถ้ำนั้นเคยมีตรงนี้มันทั้งใหญ่และกว้างขวางมาก มันหายไปได้ยังไงกันนี่ เมื่อคิดได้แล้วขนาดถ้ำยังหายไป หนังสือๆๆๆ ท่านอุทานออกมาหนังสือยังอยู่ในมือท่าน ดีใจปีติมากมายเหลือคณานับ มันเป็นสิ่งอะไรที่อัศจรรย์มากๆ หากไม่มีใครเห็นหรือได้สัมผัส ก็คงจะว่ามึงมันบ้าแล้ว
พอท่านลองเปิดหนังสือเล่มนั้นขึ้น ไม่ปรากฎตัวหนังสือเลย ตั้งแต่หน้าแรก ท่านเปิดไปเรื่อยๆจนใกล้จะหมดหน้าตัวหนังสือจึงปรากฎตัวให้เห็น ตัวอักษรนั้นเหลืองสุกดั่งทองคำ ทุกตัวอักษรนั้น มันเป็นวิชาที่อัศจรรย์มากๆ เป็นเคล็ดลับในเรื่องมนต์คาถา และยังเป็นวิชาถึงการแยกกายแยกจิตออกจากร่างและอีกมากมายที่เมื่อทำสำเร็จ กายเราจะเป็นอมตะ อือฮื้อ มันสุดยอดมากๆเลย จากนั้นท่านจึงรอนแรมเข้าป่า โดยไม่หวังพบใครให้ทำลายสมาธิกรรมฐานภาวนา เพราะวิชานี้นั้นเป็นวิชาพิศดารมากๆ หากมีใครมาล่วงรู้ ท่านเองอาจถึงขั้นจบชีวิตลงได้ และหากมีเสียงรบกวนในขณะนั้น ธาตุไฟอาจแตกตายได้
ท่านจึงออกเดินทางเข้าป่าดงดิบรกชัฎ ที่ไม่มีคนเดินผ่านด้วยภยันตรายจากสัตว์ที่เป็นพิษ ดุร้าย และเป็นที่มีไข้ป่าชุกชุม ยากจะมีใครย่างกรายเข้าไปแม้แต่เดินเฉียด
ท่านอยู่ในป่านั้นฝึกฝนวิชาในป่าดงดิบรกชัฎเป็นเวลาร่วม 20 ปี จนสำเร็จในวิชาที่มีในตำราเล่มนั้น ทุกครั้งที่ท่านเรียนจบบทท้ายๆก็จะปรากฎตัวหนังสือ ถัดไปข้างหน้าตลอด ท่านจึงรู้ว่านี่ท่านเรียนวิชาย้อนหลังจากสุดท้ายมาบทแรกหรือนี่
ซึ่งน้อยคนนักที่กระทำได้แบบนี้เมื่อเรียนจบแล้ว ในคืนนั้นเอง มันมีแสงสว่างสดใสเหมือนที่ท่านเคยเห็นจำได้แม่นยำ มันคือแสงจากถ้ำนี่หน่า ท่านเห็นถ้ำที่เคยเข้าไปเอาหนังสือปรากฎต่อหน้าท่าน ท่ามกลางป่าดงดิบรกชัฎ ท่านจึงเดินเท้าเข้าไปในถ้ำ และเข้าไปแบบครั้งแรก พอถึงจุดเดิมที่ท่านพบหนังสือ ท่านจึงวางหนังสือลง ตรงที่เคยหยิบมา ทันใดนั้นเองเมื่อหนังสือเล่มนั้นวางลงแล้ว ก็เกิดแสงสว่างแบบเดิม
ท่านจึงกำหนดจิตหายตัวออกมาจากถ้ำนั้นมายืนมองห่างจากปากถ้ำ
และภาพถ้ำนั้นก็อันตธานหายไปเหมือนครั้งแรก แต่แตกต่างตรงที่ท่านไม่สะทกสะท้านเหมือนเดิม ท่านกลับนิ่งสงบกิริยาท่านนั้นไม่เร่งรีบอะไร ท่านก้าวเท้าออกมาจากป่าดงดิบที่รกชัฎ เพียงไม่กี่ก้าวท่านก็มาถึงเมืองหลวงในยุคที่ท่านมา
ผมเผ้ายาวมากแต่ไม่มีใครรู้ว่าสึกเพราะอะไรสึกที่ไหน ท่านออกมาในช่วงอังกฤษเข้ายึดพม่า ท่านแสดงฤทธิ์ให้เห็นจนทหารอังกฤษกลัวท่านมาก จึงเกิดการปั้นพ่อปู่ผมยาวเกิดขึ้น
เชื่อกันว่าหากผมยาวแบบนี้จะมีฤทธิ์เยอะ อธิษฐานอะไรจะสำเร็จเร็ว จึงมีการสร้างปางนี้ขึ้นมา
Credit พงษ์ศักดิ์