เอ็นพีเอการบัญชี

พระโพธิสัตว์ พระศรีอารย์


พระโพธิสัตว์ พระศรีอารย์

     ประเภทพระมหาโพธิสัตว์  พระโพธิสัตว์ หมายถึง บุคคลที่บำเพ็ญบารมีหรือกระทำความดีต่างๆ เพื่อให้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล มีพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมากตามความเชื่อในฝ่ายเถรวาท และมหายาน แต่มีความแตกต่างกันไป  ประเภทของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า คือ ผู้ที่เป็นศาสดาเอกในพระพุทธศาสนาประเภทของพระพุทธเจ้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

     1.ปัญญาธิกะพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 7 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 9 อสงไขย รวมเป็น 16 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตะโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข้มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอด  เมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน

     2.ศรัทธาธิกะพุทธเจ้า คือ  พระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 14 อสงไขย หลังจากนั้น จึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 18 อสงไขย รวมเป็น 32 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข้มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน

     3.วิริยาธิกะพุทธเจ้า คือ  พระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 28 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 36 อสงไขย รวมเป็น 64 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข้มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน

     ตามหลักฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฎกพบว่า  ยิ่งใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีนานเท่าใด พระโพธิสัตว์จะมีพระชนม์มายุยืนขึ้นในสมัยที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า รวมทั้งสัตว์ที่เกิดในยุคนั้นจะมีอายุยืน และบรรลุธรรมได้ง่ายและมีจำนวนมากแต่ไม่ประกันว่าศาสนาของพระองค์จะยืนยาวหลายชั่วอายุไข เช่น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ มีพระนามว่า   "พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า"  พระองค์ทรงสร้างบารมีมาทางปัญญาพุทธเจ้า ทรงมีพระชนมายุเพียง 80 พรรษา พระวรกายสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี พุทธรังสีซ่านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ มนุษย์ยุคพุทธกาลมีอายุไข 120 ปี

     ขณะที่ทรงพยากรณ์ถึง  "ภิกษุอชิตเถระ"  ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม  "พระศรีอาริยเมตไตร"  ทรงสร้างบารมีมาทาง  "วิริยาธิกะพุทธเจ้า"  ไม่ได้ทรงพยากรณ์พระชนม์มายุ แต่เทียบกับอายุมนุษย์ในยุคแล้วน่าจะมีพระชนม์มายุ หลักหมื่นปีเป็นอย่างน้อย   มีพระวรกายสูงได้ ๘๘ ศอก หรือ 44 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน  พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบนจนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงมหาอเวจีนรก มนุษย์ยุคพุทธกาลมีอายุไข 80,000 ปี

     ส่วนเหตุที่ทำให้พระสัจธรรมตั้งอยู่ได้นานหรือไม่นั้น  ขึ้นอยู่กับความท้อพระทัยของพระพุทธเจ้าในการเผยแผ่ธรรมะและพระวินัยที่ได้ทรงบัญญัติไว้

 

     ประเภทของพระโพธิสัตว์   พระโพธิสัตว์ คือ  บุคคลที่ปรารถนาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต  แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ

     1.อนิตยโพธิสัตว์  พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย เรียกว่า อนิตยโพธิสัตว์ ความหมายคือ ยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาจจะเลิกล้มความปรารถนาเมื่อไรก็ได้
     2.นิตยโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว  เรียกว่า นิตยโพธิสัตว์ ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน  เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว  แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์   แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยี่ยมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้   แม้จะทุกข์ท้อแท้  จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์

     อสงไขย และ กัป    

กัป เป็นหน่วยวัดเวลา ในเชิงประมาณ คือ
เมื่อโลกมนุษย์ปราฏกขึ้นหรือบังเกิดขึ้น จนพังสูญหายไป 1 ครั้งเรียกว่า 1 กัป
อสงไขย เป็นหน่วยวัดเวลา ที่มากกว่ากัป  คือ จำนวณกัป ที่นับไม่ถ้วน เท่ากับ 1 อสงไขย
สูญกัป หมายถึง  กัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 

ตามที่เคยคำนวณมา 1 อสงไขย เท่ากับ จำนวน กัป ที่เอาเลข 1 ตามด้วย เลข 0 ถึง 140 ตัว

     บารมี ๓o ทัศ  บารมี หมายถึง การกระทำที่ประเสริฐ การกระทำที่ประกอบด้วยกุศล  เจตนา  คุณงามความดีที่ควรกระทำ คุณงามความดีที่ได้บำเพ็ญมา คุณสมบัติที่ทำให้ยิ่งใหญ่  เป็นธรรมส่วนหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งช่วยเหลือเกื้อกูลให้ผู้ปฏิบัติได้ถึงซึ่งโพธิญาณ บารมีที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ คือ

1.ทานบารมี หมายถึง การสละออก การให้ต่างๆ โดยมีเจตนาช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสำคัญ
2.ศีลบารมี หมายถึง การรักษาศีลให้เป็นปกติ หากเป็นฆราวาส  หมายถึง การถือศีล 5 หากเป็นนักบวชคือการถือศีล 8 ขึ้นไป
3.เนกขัมมะบารมี หมายถึง การออกบวช หากฆราวาสถือศีล ๘ ก็นับเป็นเนกขัมบารมีได้เช่นกัน เพราะเป็นการกระทำเพื่อเว้นจากกามสุข
4.ปัญญาบารมี หมายถึง การกระทำเพื่อเพิ่มพูนปัญญา ปัญญาแบ่งออกเป็นปัญญาทางโลกและทางธรรม  เนื่องจากพระโพธิสัตว์  จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล จึงต้องมีปัญญาความรู้มาก เพื่อจะได้สั่งสอนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้  การเรียนของพระโพธิสัตว์จึงต้องเรียนมากกว่าผู้อื่น
5.วิริยะบารมี หมายถึง การกระทำที่ใช้ความเพียรเป็นที่ตั้ง การมีวิริยะ  อาจไม่ได้หมายถึงการเพียรจนกระทั่งตัวตายในครั้งเดียว แต่หมายถึงมีความพยายามทำอยู่เรื่อยๆ ทำไปทีละน้อยตามกำลังจนกว่าจะสำเร็จ สัมมัปปธานหรือความเพียรที่ถูกต้อง มี 4 อย่างคือ

     5.1สังวรปธาน   เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น
     5.2ปหานปธาน   เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
     5.3ภาวนาปธาน   เพียรทำบุญให้เกิดขึ้น
     5.4อนุรักขนาปธาน   เพียรรักษาการทำบุญไว้ต่อเนื่อง

6.ขันติบารมี หมายถึง การอดทน  อดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ
7.สัจจะบารมี หมายถึง การรักษาคำพูด ไม่กลับกลอก แม้ว่าจะต้องสละบางสิ่งเพื่อรักษาคำพูดไว้
8.อธิษฐานบารมี หมายถึง การตั้งมั่นในความปรารถนา ตั้งจิตมั่นต่อคำอธิษฐาน
9.เมตตาบารมี หมายถึง การมีความปรารถดี มีความรักต่อสัตว์ทั้งหลายในโลกอย่างเท่าเทียม ประดุจมารดารักบุตรเมตตาแตกต่างจากราคะตรงที่ ราคะอาจรักเฉพาะตัวหรือพวกพ้อง แต่เมตตาเป็นรักที่ไม่แบ่งแยก
10.อุเบกขาบารมี หมายถึง การวางเฉย มีใจเป็นกลาง การปล่อยวางในสิ่งที่ผิดพลาด ในสิ่งที่แก้ไข  ไม่ได้ วางเฉยในความทุกข์ของตน และสัตว์ที่ช่วยไม่ได้   เนื่องจากมีปัญญาเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรมของตน ไม่มีใครได้รับความยากลำบากโดยไม่มีเหตุปัจจัย  ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมที่เคยทำมาทั้งสิ้น

 

     บารมีนั้นแบ่งย่อยเป็น 3 ขั้น ได้แก่

1.บารมีขั้นต้น คือ เนื่องด้วยวัตถุ และทรัพย์นอกกาย เช่น การสละทรัพย์ช่วยผู้อื่น   จัดเป็น   ทานบารมี รักษาศีลแม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง   จัดเป็น   ศีลบารมี ยอมถือบวชโดยไม่อาลัยในทรัพย์สิน   จัดเป็น   เนกขัมบารมี
2.บารมีขั้นกลาง หรืออุปบารมี คือ เนื่องด้วยเลือดเนื้อ อวัยวะ เช่นการสละเลือดเนื้ออวัยวะแก่ผู้อื่น   จัดเป็น   ทานอุปบารมี การใช้ปัญญารักษาอวัยวะเลือดเนื้อของผู้อื่น   จัดเป็น   ปัญญาอุปบารมี การมีความเพียรจนไม่อาลัยในเลือดเนื้อหรืออวัยวะ   จัดเป็น   วิริยะอุปบารมี มีเมตตาต่อผู้ที่จะมาทำร้ายเลือดเนื้ออวัยวะของตน  จัดเป็น   เมตตาอุปบารมี มีความอดทนอดกลั้นต่อผู้ที่จะมาทำลายอวัยวะของตน   จัดเป็น  ขันติอุปบารมี
3.บารมีขั้นสูงสุดหรือปรมัตถบารมี คือ เนื่องด้วยชีวิต เช่นการสละชีวิตเป็นทานแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานปรมัตถบารมี ยอมสละแม้ชีวิตเพื่อจะรักษาคำพูด จัดเป็น สัจจปรมัตถบารมี ตั้งจิตไม่หวั่นไหวต่อคำอธิษฐานแม้จะต้องเสียชีวิต จัดเป็น อธิษฐานปรมัตถบารมี วางเฉยต่อผู้ที่จะมาทำร้ายชีวิตของตน จัดเป็น อุเบกขาปรมัตถบารมี ดังนั้น จึงรวมเป็นบารมี 30 ทัศ

 

     อานิสงส์ บารมี 30 ทัศ ของพระนิตยะโพธิสัตว์   พระนิตยะโพธิสัตว์เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก จะมีอานิสงส์18 อย่างอยู่ตลอด จนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่

1.เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดเป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด
2.ไม่เป็นหูหนวกแต่กำเนิด
3.ไม่เป็นคนบ้า
4.ไม่เป็นคนใบ้
5.ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย
6.ไม่เกิดในมิลักขประเทศคือประเทศป่าเถื่อน
7.ไม่เกิดในท้องนางทาสี (แต่เกิดในฐานะคนจันทาลได้ ดัง พระโพธิสัตว์ มาตังคะฤๅษี ท่านเป็นบุตรคนจันทาล แต่ไม่ได้เป็นนางทาสี)
8.ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ
9.ไม่เป็นสตรีเพศ
10.ไม่ทำอนันตริยกรรม
11.ไม่เป็นโรคเรื้อน
12.เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดียรฉาน มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และ ไม่ใหญ่ไปกว่าช้าง
13.ไม่เกิดใน ขุปปิปาสิกเปรต นิชฌานตัณหิกเปรต และกาลกัญจิกาสุรกาย
14.ไม่เกิดในอเวจีนรก และโลกันตนรก
15.ไม่เกิดเป็นเทวดาใน กามาพจรสวรรค์ ไม่เกิดเป็นเทวดาที่นับเข้าในเทวดาพวกหมู่มาร
16.เมื่อเกิดเป็นรูปพรหม จะไม่เกิดใน ปัญจสุทธวาสพรหมโลก  (พรหมชั้นอนาคามี)  และอสัญญสัตตาภูมิพรหม  ( มีแต่รูปอย่างเดียว)
17.ไม่เกิดในอรูปพรหมโลก
18.ไม่เกิดในจักรวาลอื่น

อานิสงส์พิเศษอีกอย่างหนึ่งของนิยตโพธิสัตว์ คือ การทำอธิมุตตกาลกริยา คือเมื่อท่านเกิดเป็นเทวดาหรือพระพรหมเกิดความเบื่อหน่าย ในการเสวยสุขนั้น ปรารถนาที่จะสร้างบารมีในโลกมนุษย์  ท่านก็สามารถทำการอธิมุตต คืออธิษฐานให้จุติ  (ตายจากการเป็นเทพ)  มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ทันที ได้โดยง่าย ซึ่งเหล่าเทพเทวดาอื่นๆ ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้

 

     คุณสมบัติและอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์

สำหรับพระโพธิสัตว์ ที่เป็น อนิตยโพธิสัตว์ แต่สร้างบารมี 30 ทัศ  และมีธรรมสโมธาน 8 ประการสมบูรณ์แล้ว จะได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกต่อหน้าพระพักตร์พุทธเจ้า โดยจะได้รับพุทธพยากรณ์โดยนัยว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น  ทรงนามว่าอย่างนั้น ในกัปอันเป็นอนาคตที่เท่านั้น และก็จะกลายเป็น นิตยโพธิสัตว์ ทันที คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้ ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน

     ธรรมสโมธาน 8 ประการคือ
1.ได้เกิดเป็นมนุษย์
2.เป็นบุรุษเพศ ไม่เป็นกระเทย
3.มีอุปนิสสัยปัจจัยแห่งพระอรหันต์   รุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดาน   (ถ้าเกิดเปลี่ยนใจก็จะเป็นพระอรหันต์ทันที)
4.ต้องพบพระพุทธเจ้า  ขณะมีพระชนม์ชีพอยู่ และได้สร้างกองบุญกุศลต่อหน้าพระพักตร์
5.ต้องเป็นบรรพชิต หรือต้องเป็น โยคี ฤๅษี ดาบส หรือปริพาชก ที่มีลัทธิเชื่อว่า บุญมี บาปมี ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ต้องไม่เป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน
6.ต้องมีอภิญญาและฌานสมาบัติ อันเชี่ยวชาญ
7.เคยให้ชีวิตของตนเป็นทาน เพื่อสัมโพธิญาณมาก่อนในอดีดชาติ
8.ต้องมี ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง

     กล่าวถึงพุทธภูมิธรรมของนิยตะโพธิสัตว์ ในการเพิ่มพูนบารมีให้มากยิ่งขึ้น มีน้ำใจประกอบไปด้วยพุทธภูมิธรรม 4 ประการ คือ

1.อุสสาโห คือ ประกอบไปด้วยพระอุตสาหะ มีความเพียรอันสลักติดแน่นในจิตใจอย่างมั่นคง
2.อุมัตโต คือ ประกอบด้วยปัญญา มีปัญญาเชียวชาญเฉียบคม
3.อวัตถานัง  คือ  มีพระทัยอธิษฐานอันมั่นคง มิได้หวั่นไหวคลอนแคลน
4.หิตจริยา คือ ประกอบไปด้วยพระเมตตา เจริญจิตอยู่ด้วยพรหมวิหารเป็นปกติ

     อัธยาศัย ที่ทำให้พระโพธิญานของนิตยโพธิสัตว์แก่กล้ายิ่งขึ้น มี 6 ประการ

1.เนกขัม พอใจในการรักษาศีล การบวช หรือบรรพชา
2.วิเวก พอใจอยู่ในที่สงบ
3.อโลภ พอใจในการบริจาคทาน
4.อโทส พอใจในความไม่โกรธ เจริญเมตตา
5.อโมห พอใจในการพิจารณาคุณและโทษ เจริญปัญญา
6.นิพพาน พอใจที่ยกตนออกจากภพ ไม่ยินดีในการเวียนว่ายตายเกิด ประสงค์นิพพานเป็นอย่างยิ่ง

 

     จริยธรรม 10 ประการ  ของพระโพธิสัตว์ประกอบด้วย

1.พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า ร่างกายจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
2.พระโพธิสัตว์ ครองชีพโดยไม่ปรารถนาว่าจะไม่มีภัยอันตราย
3.พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีอุปสรรคในการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์
4.พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีมารขัดขวางการปฏิบัติภารกิจ
5.พระโพธิสัตว์ ถือว่าทำงานให้นานที่สุด โดยไม่ปรารถนาจะให้สำเร็จผลเร็ว
6.พระโพธิสัตว์ คบเพื่อน โดยไม่ปรารถนาจะได้รับผลประโยชน์จากเพื่อน
7.พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาว่า จะให้คนอื่นต้องตามใจตนเองเสมอไปทุกอย่าง
8.พระโพธิสัตว์ ทำความดีกับคนอื่น โดยไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทน
9.พระโพธิสัตว์ เห็นลาภแล้ว ไม่ปรารถนาว่าจะได้รับ
10.พระโพธิสัตว์ เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี ติเตียนนินทาแล้ว ไม่ปรารถนาที่จะตอบโต้

 

     คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ มีอยู่  3  ข้อใหญ่ 

1.มหาปรัชญาหรือปัญญาอันยิ่งใหญ่ หมายความว่า   จะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส
2.มหากรุณา หมายความว่า  จะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย  อย่างปราศจากขอบเขต พร้อมที่จะสละตนเองเพื่อช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์
3.มหาอุปาย หมายความว่า  พระโพธิสัตว์จะต้องมีวิธีการชาญฉลาดในการแนะนำ อบรมสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงสัจธรรม คุณสมบัติทั้งสามข้อนี้ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ข้อแรกเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม ส่วน 2 ข้อหลัง  เป็นการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น

 

     มหาปณิธาน 4

1.เราจะละกิเลสให้หมด
2.เราจะศึกษาสัจธรรมให้จบ
3.เราจะช่วยโปรดสัตว์ทั้งหลายให้สิ้น
4.เราจะบรรลุพระพุทธภูมิอันประเสริฐสุด

 

     ความหมายของคำว่าพระโพธิสัตว์

ในพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทนั้นพระโพธิสัตว์ คือ บุคคลผู้บำเพ็ญบารมีธรรมอุทิศตนช่วยเหลือสัตว์ผู้มีความทุกข์ยากและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต พุทธศาสนาฝ่ายมหายานเรียกบุคคลเช่นนี้ว่า เป็นผู้มีพลังหรืออำนาจมุ่งสู่โพธิญาณเป็นผู้บำเพ็ญความดีหรือที่เรียกว่า  บารมีธรรมอย่างยิ่งยวดเพื่อการบรรลุถึงพระโพธิญาณ การดำเนินชีวิตของพระโพธิสัตว์เป็นไปเพื่อบำเพ็ญบารมีเพื่อตนและเป็นการเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน  การกระทำทุกอย่างนี้  ดำเนินไปได้ด้วยความรัก  ความปรารถนาในพระพุทธภาวะอันเป็น ความหมายของพระโพธิสัตว์  ด้วยความรักในพระโพธิญาณ พระโพธิสัตว์จึงสามารถกระทำได้ทุกอย่างเบื้องต้น  แต่สละได้ซึ่งสิ่งของภายนอกจนถึงชีวิตและสิ่งเสมอด้วยชีวิตคือบุตรและภรรยาของตน   ดังตัวอย่างพุทธดำรัสที่ตรัสในขณะเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ความว่า

"เมื่อเราจะให้ทานก็ดี กำลังให้ทานก็ดี ให้ทานแล้วก็ดี  จิตของเราไม่เป็นอย่างอื่น เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น" (ขุ.จริยา.๓๓/๖๖/๗๓๖)

"จักษุทั้งสอง เป็นที่น่าเกลียดชังสำหรับเราก็หาไม่ แม้ตัวเราเองจะเป็นที่เกลียดชังก็หาไม่ แต่พระสัพพัญญุตญาณ  เป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้จักษุ ฉะนี้แล" (๓๓/๖๖/๗๓๖)

"เราตามรักษาศีลของเรา มิใช่รักษาชีวิตของเรา เพราะ ในกาลนั้นเราเป็นผู้รักษาศีล เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น"  (๓๓/๖๕/๗๕๔)

 

     อย่างไรก็ตาม   คำว่า   "พระโพธิสัตว์"  มาจากศัพท์สองศัพท์  ประกอบกัน  คือ 

คำว่า  " โพธิ "   ที่แปลว่า  ความตรัสรู้  "สัตตะ"  ที่แปลว่า  สัตว์   ในคำที่เรียกว่า   สัตว์โลก  (วัดบวรนิเวศวิหาร, ๒๕๓๒:๒๙) 

อันมีความหมายครอบคลุมทั้งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งจะเห็นได้จากอดีตชาติของพระพุทธเจ้า  กล่าวคือ นอกเหนือจากที่พระองค์ได้เสวยพระชาติเป็นมนุษย์แล้ว  บางพระชาติพระองค์ได้เสวยพระชาติเป็นพญาวานร   เสวยพระชาติเป็นช้าง   เสวยพระชาติเป็นนาคราช เป็นต้น ดังพระพุทธดำรัสต่อไปนี้  ในภพที่เราเป็นพญาวานร   ช้างฉัททันต์ และช้างเลี้ยงมารดาเป็นศีลบารมี  ในภพที่เราเป็นพญาไก่ป่า   สีลวนาค และพญากระต่ายเป็นทานปรมัตถบารมี   (ขุ.จริยา.๓๓/๑๒๒/๗๗๖)  พระโพธิสัตว์ไม่ว่าจะครองสภาวะความเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็บำเพ็ญบารมีธรรมเพื่อพระโพธิญาณเป็นเป้าหมาย   

 

เพราะคำว่า  “โพธิสัตว์”  หมายถึง  ผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ คือ การตรัสรู้ โดยไม่ได้มีเป้าหมายเป็นอย่างอื่น  เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ความรู้แจ้งโลก ซึ่งหมายรวมถึงโลก ทั้ง ๓ คือ

 

สัตว์โลก  อันได้แก่  หมู่สัตว์ชนิดต่างๆ รวมทั้ง เทวดา มนุษย์ และสัตว์เดรัจฉาน 
โอกาสโลก  อันได้แก่   โลกคือที่อยู่อาศัย หมายถึง ระบบจักรวาล และดวงดาวต่างๆ
สังขารโลก  อันได้แก่   โลกคือสังขารที่เกิดจากการปรุงแต่ง สรุปให้แคบเข้า ได้แก่ นามรูป นั่นเอง 

การที่บุคคลได้บรรลุถึงพระโพธิญาณ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง  คือ การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้านั้นเกิดขึ้นได้ยาก (กิจโฉพุทธานมุปปาโท) ดังนั้น  บุคคลผู้จะบรรลุพระโพธิญาณได้นั้นจึงจำต้องบำเพ็ญบารมีธรรมเป็นเวลานานยิ่ง เมื่อบุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์ นั้นหมายความว่า เขาย่อมต้องประสบกับความลำบากในชีวิตนานับประการ นับตั้งแต่การต้องจำยอมสละทรัพย์สินภายนอกร่างกายเป็นเบื้องต้น จนถึงการยอมสละชีวิตของตนเข้าแลกเป็นที่สุดและการปฏิบัติเช่นนั้นก็ต้องประกอบไปด้วยความเต็มใจของตน หากไม่สามารถปฎิบัติได้   ความหมายของคำว่าพระโพธิสัตว์ในตัวบุคคลนั้นก็ไม่สามารถเกิดขึ้นตามมา แม้พระโพธิสัตว์จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องแลกด้วยชีวิต  แต่พระโพธิสัตว์ก็ใช่ว่าจะหวาดหวั่นต่อสถานการณ์เช่นนั้นไม่ ตรงกันข้ามพระโพธิสัตว์กลับมีใจมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวพร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ประสบอย่างเต็มใจ  และยินดีด้วยมุ่งมั่นที่จะอุทิศตนเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น   โดยหวังให้คุณธรรมความดีที่บำเพ็ญนั้นเป็นปัจจัยให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ในกาลเบื้องหน้า

 

     คุณลักษณะของพระโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์ผู้อยู่ในข่ายที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น มีองค์ประกอบสำคัญอันเป็นคุณลักษณะเฉพาะตน ๔ ประการคือ

๑.อุสสาหะ คือ ประกอบไปด้วยความเพียรอันมั่นคง
๒.อุมมังคะ คือ ประกอบไปด้วยปัญญาอันเชี่ยวชาญหาญกล้า
๓.อวัตถานะ คือ ประกอบไปด้วยพระอธิษฐานอันมั่งคงมิได้หวั่นไหว
๔.หิตจริยา คือ ประกอบไปด้วยเมตตาแก่สัตว์เป็นเบื้องหน้า (พระนันทาจารย์, ม.ป.ป.:๑๑)

คุณลักษณะ หรือเรียกว่าคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้   เป็นอุปกรณ์หรือวิธีการสำคัญอย่างหนึ่งที่พระโพธิสัตว์จะต้องปฏิบัติตามอย่างมั่นคง   จนกว่าจะบรรลุถึงจุดมุ่งหมายขั้นสูงสุด  คือ  พระโพธิญาณ

 

คัดลอกมาจาก :: พระ มหาจู่ล้อม ชูเลื่อน. (๒๕๔๖). ความกล้าหาญทางจริยธรรมในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในทศชาติชาดก. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต, สาขาวิชาจริยศาสตร์ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล  

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลรวบรวมโดย...แสงธรรม อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 26 สิงหาคม 2558  ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่... http://www.watkaokrailas.com/index.php?mo=3&art=41908688