เอ็นพีเอการบัญชี

การอุทิศบุญ


การอุทิศบุญ

“การอุทิศบุญไม่ต้องรอให้พระมาสวดยะถาสัพพี”

การอุทิศบุญนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้น้ำกรวด น้ำนี้เป็นเพียงตัวอย่างของบุญเพราะบุญจริงๆ นี้เป็นของที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นความรู้สึกที่มีอยู่ในใจของผู้ที่ทำบุญคือความสุขใจอิ่มใจที่สามารถอุทิศไปให้กับผู้ที่ไม่มีร่างกายได้ การอุทิศบุญนี้ก็เป็นเหมือนกับการส่งกระแสจิตที่มีความอิ่มความสุขนี้ไปให้กับผู้ที่รอรับอยู่นั่นเอง ทีนี้คนที่ไม่สามารถนึกภาพของบุญออกได้เขาก็เลยให้ใช้น้ำแทน เอาน้ำนี้เป็นตัวอย่างของบุญ เทน้ำออกจากภาชนะหนึ่งลงสู่อีกภาชนะหนึ่งก็คือการถ่ายบุญจากจิตใจของผู้ให้ไปสู่จิตใจของผู้รับ นั่นคือการอุทิศบุญด้วยการกรวดน้ำ แต่จะมีน้ำหรือไม่มีน้ำนี้ก็ไม่ได้ทำให้การอุทิศบุญนี้ไม่สำเร็จหรือสำเร็จ การอุทิศบุญนี้ไม่ต้องใช้น้ำ สมมุติว่าถ้าเราทำบุญเสร็จปั๊บใส่บาตรเสร็จปั๊บเราสามารถที่จะอุทิศบุญได้ทันทีเลย และเป็นบุญที่สดๆ ร้อนๆ ดีกว่ารอไปอุทิศในภายหลังเพราะหลังจากนั้นไปแล้วเราก็อาจจะไปทำอะไรต่างๆ แล้วก็อาจจะเกิดมีอารมณ์ว้าวุ่นขุ่นมัวเข้ามากลบบุญที่เราทำไว้ก็ได้ บุญไม่ได้หายไปเพียงแต่มันถูกกลบไว้ เราก็อาจจะต้องใช้เวลาระลึกถึงบุญอันนั้น ดึงบุญนั้นกลับขึ้นมาเพื่ออุทิศไป
          
ดังนั้น เพื่อเป็นความสะดวกรวดเร็วและไม่หลงลืม พอทำบุญเสร็จก็อุทิศไปภายในใจได้เลย ระลึกภายในใจว่าขออุทิศบุญส่วนี้ส่วนนี้ให้กับบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว ถ้ารอรับบุญส่วนนี้อยู่ก็ขอให้รับไปได้เลยเถิด อันนี้ก็สำเร็จประโยชน์อุทิศบุญได้เสร็จแล้ว ไม่ต้องใช้น้ำไม่ต้องรอให้พระมาสวดยะถาสัพพี เพราะการสวดของพระนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการอุทิศบุญ การสวดของพระนี่เป็นการบอกว่าการทำบุญนี้ได้ประโยชน์อย่างไร เป็นการสอน เป็นการสอนว่าบุญที่ทำนี้เป็นเหมือนเสบียงเป็นเหมือนอาหารของจิตตวิญญาณ ที่สามารถแบ่งให้กับพวกที่ล่วงลับไปแล้วได้ พระจะสวดหรือไม่สวดก็ไม่ทำให้บุญเรามากขึ้นหรือน้อยลงแต่อย่างใด แล้วเวลาอุทิศจริงๆ ก็ควรที่จะอุทิศตอนที่จิตเราสงบดีกว่า มาอุทิศตอนที่พระสวดแล้วก็มานั่งแข่งกับพระ พระสวดไปอย่างใจก็อุทิศกันไป มันก็เลยชนกันวุ่นวายกันไป ความจริงไม่ต้องรอให้พระสวดยะถาสัพพี การสวดนี้เป็นการสอนว่าทำบุญแล้วมีประโบยชน์หลายอย่าง นอกจากมีประโยชน์จากตนเองแล้วยังสามารถแบ่งประโยชน์ให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้  เท่านั้นเองที่สวด แล้วก็แสดงอานิสงส์ของการทำบุญของผู้ที่ทำบุญว่าจะเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ เท่านั้นเอง ไม่ได้มาเป่ามาเสกให้ผู้ที่ทำบุญนั้นเจริญด้วยอายุวรรณะ สุขะ พละ เพราะความเจริญนั้นเกิดจากการกระทำของผู้ทำบุญ ไม่ใช่เกิดจากพระมาสวดมาเป่ามาเสก
         
สรุปแล้วก็คือทำบุญแล้วพระไม่ต้องสวดยะถาสัพพีให้ก็ได้ ไม่ต้องให้พรก็ได้เพราะพรมันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ พรเกิดจากการกระทำของผู้ที่ทำบุญนั่นเอง แต่ธรรมเนียมทำกันมาเลยทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าทำบุญแล้วพระไม่สวดยะถาสัพพีให้แล้วไม่ได้บุญ บางคนนั่งรออยู่นั่นพระก็ลืมไปพระก็คิดว่าทำบุญเสร็จแล้วได้พรแล้วกลับบ้านได้แล้วเขาก็นั่งรอ เลยต้องถามว่าทำอะไร เขาบอกรอให้พร บอกอ๋อพรให้ไปแล้วให้ตั้งแต่ที่โยมใส่บาตรนั่นแหน่ะ โยมใส่บาตรเสร็จปั๊บ โยมก็ได้รับพรก็คืออานิสงส์ที่เกิดจากการทำบุญของโยมนั่นเอง นี่คือเรื่องของการทำบุญและอุทิศบุญ

 ธรรมะบนเขา 
วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3878765162161406&id=504807172890572